มะเร็ง คือภัยเงียบที่ค่ารักษาสูงลิ่ว การมีประกันโรคมะเร็งที่ดีจึงเป็นเสมือนเกราะป้องกันทางการเงินที่สำคัญที่สุด แต่จะเลือกแผนประกันอย่างไรให้ครอบคลุมและคุ้มค่าที่สุด ? เช็คลิสต์นี้จะมาเผยสิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจทำประกันโรคมะเร็ง เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่ตอบโจทย์ชีวิตอย่างแท้จริง

 

 

 

นี่คือข้อแรกและข้อที่สำคัญที่สุด ! ระยะเวลารอคอย (Waiting Period) คือช่วงเวลาที่คุณต้องถือครองกรมธรรม์ตามที่กำหนด (ส่วนใหญ่อยู่ที่ 60-90 วัน) นับจากวันที่กรมธรรม์มีผลบังคับใช้ หากคุณถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งภายในช่วงเวลานี้ บริษัทประกันจะไม่จ่ายผลประโยชน์ใด ๆ เลย ดังนั้นควรมองหาแผนที่ให้ระยะเวลารอคอยสั้นที่สุดเพื่อเริ่มความคุ้มครองได้เร็วที่สุด

 

นี่คือหัวใจหลักของประกันโรคมะเร็งที่ดี ประกันที่จ่ายเงินก้อนให้ทันทีที่แพทย์วินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็นระยะเริ่มต้นหรือลุกลาม เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะเงินก้อนนี้สามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจรักษาโรคมะเร็งได้อย่างทันท่วงที 

สร้างสภาพคล่อง : ผู้เอาประกันสามารถนำเงินไปใช้จ่ายได้ตามต้องการ ไม่จำกัดแค่ค่ารักษาพยาบาล แต่รวมถึงค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่าเดินทาง หรือการปรับปรุงบ้านในช่วงพักฟื้น

ให้อำนาจการตัดสินใจ : คุณมีอิสระในการเลือกวิธีการรักษาและสถานพยาบาลที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องรอการอนุมัติค่าใช้จ่ายจากบริษัทประกัน

 

ควรเลือกแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (Early Stage) หรือระยะไม่ลุกลาม (Non-Invasive) ด้วย แม้ว่าเงินที่ได้รับอาจเป็นสัดส่วน เช่น 10% - 25% ของจำนวนเงินเอาประกัน แต่การได้รับการวินิจฉัยในระยะเริ่มต้นและการได้รับเงินก้อนนี้จะช่วยให้คุณรักษาได้เร็วขึ้น

มีเงินทุนเริ่มต้น : สำหรับการตรวจเพิ่มเติมและเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างรวดเร็ว

ความสบายใจ : ไม่ต้องรอให้โรคพัฒนาไปสู่ระยะลุกลามเพื่อรับความคุ้มครอง

 

การรักษาโรคมะเร็งส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เช่น เคมีบำบัด (Chemotherapy), รังสีรักษา (Radiation Therapy), หรือการรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted Therapy) มักทำในฐานะผู้ป่วยนอก (OPD) หรือแบบไปกลับ ไม่ใช่ผู้ป่วยใน (IPD) เสมอไป

 

ดังนั้น กรมธรรม์ที่ดีต้องระบุอย่างชัดเจนว่า ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยนอกที่ต่อเนื่องจากการรักษาโรคมะเร็ง ด้วยหากกรมธรรม์เน้นแต่ค่ารักษา IPD เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายจริงที่เกิดขึ้น

 

สำหรับแผนประกันที่เน้นการชดเชยค่ารักษาพยาบาล (ไม่ใช่แค่เงินก้อน) ต้องตรวจสอบวงเงินให้แน่ใจว่า ครอบคลุมในส่วนใดบ้าง เช่น

  ครอบคลุมค่าใช้จ่าย IPD : ในกรณีที่ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล เพื่อจัดการอาการแทรกซ้อน หรือการผ่าตัด

ค่าห้องพัก : วงเงินเพียงพอต่อมาตรฐานโรงพยาบาลที่คุณต้องการเข้ารับการรักษา

การชดเชยรายได้ : บางกรมธรรม์อาจมีผลประโยชน์เพิ่มเติมเป็นการชดเชยรายได้รายวันในขณะที่เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ดี 

 

ส่วนใหญ่กรมธรรม์ประกันโรคมะเร็งแบบเงินก้อนจะคุ้มครองต่อโรคต่อช่วงชีวิต คือจ่ายครั้งเดียวแล้วความคุ้มครองในส่วนนั้นสิ้นสุด แต่ควรพิจารณาแผนที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น 

คุ้มครองเมื่อมีการเป็นซ้ำ : บางแผนอาจมีเงื่อนไขการกลับมาเป็นซ้ำ หรือการตรวจพบมะเร็งชนิดใหม่ที่แตกต่างออกไปหลังจากช่วงระยะเวลาปลอดโรคที่กำหนด เช่น 2 ปี ซึ่งจะได้รับเงินก้อนอีกครั้ง

 

ระยะเวลาคุ้มครอง : ควรเลือกแผนที่ให้ความคุ้มครองยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น คุ้มครองถึงอายุ 80 หรือ 90 ปี เนื่องจากความเสี่ยงมะเร็งจะเพิ่มขึ้นตามอายุ

อายุรับประกัน : บางแผนมีข้อจำกัดเรื่องอายุสูงสุดที่สามารถสมัครได้ เช่น ไม่เกิน 60 ปี  หากคุณอายุมากแล้ว ควรเร่งหาแผนประกันโรคมะเร็งที่รองรับก่อนที่จะเลยช่วงอายุรับประกัน

 

หลังจากพิจารณาความครอบคลุมทุกข้อแล้ว ให้เปรียบเทียบเบี้ยประกันกับความคุ้มครองที่ได้รับ ไม่ใช่แค่เลือกเบี้ยที่ถูกที่สุด แต่ควรเลือกแผนที่ให้จำนวนเงินเอาประกันภัย (Sum Insured) สูงพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างแท้จริงเมื่อเทียบกับเบี้ยที่คุณต้องจ่ายในแต่ละปี

 

การเลือกประกันโรคมะเร็งที่ชาญฉลาดคือการวางแผนระยะยาว ไม่ใช่แค่ดูเบี้ยประกันที่ถูกที่สุด หัวใจสำคัญคือการจ่ายเงินก้อนแบบ เจอ จ่าย จบ เพื่อใช้บริหารจัดการชีวิต และความครอบคลุมค่ารักษาที่ต่อเนื่องในรูปแบบผู้ป่วยนอก ไม่ว่าจะเป็นให้คีโมหรือฉายแสง เพื่อให้คุณมีสิทธิเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาระทางการเงินและมีชีวิตที่ดีต่อจากนี้ไป