งานราชการล่าสุด

ด่วน ! แบงก์ไทยรวมตัวเตรียมยกเลิก “ดอกเบี้ยบ้านแบบคงที่” ปล่อยดอกเบี้ยลอยตัว กังวลทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น

29 มิ.ย. 2565 เวลา 13:58 น. 3,688 ครั้ง

ด่วน ! แบงก์ไทยรวมตัวเตรียมยกเลิก “ดอกเบี้ยบ้านแบบคงที่” ปล่อยดอกเบี้ยลอยตัว กังวลทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น



นำเสนอข่าวโดย > ทีมงานจ๊อบไทยดีดี ดอทคอม
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันที่ 27 มิถุนายน 2565 แบงก์ตั้งรับ “ดอกเบี้ยขาขึ้น” ปรับสินเชื่อบ้านยกเลิกแคมเปญ “ดอกเบี้ยคงที่” ประเมินลูกค้าซื้อบ้านช่วงไตรมาส 3 ต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้สูงขึ้น “ซีไอเอ็มบี ไทย-กสิกรไทย-กรุงศรี-ทีทีบี” ประสานเสียงปล่อยดอกเบี้ย “ลอยตัว”

ชี้กรณีขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ลูกค้ามีภาระผ่อนต่อเดือนสูงขึ้น 4-5% หวั่นความสามารถชำระหนี้ลูกค้าทรุด แถมได้วงเงินกู้น้อยลง “ธอส.-ออมสิน” ชูธงตรึงดอกเบี้ยนานที่สุด

ภาระผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น

นายเอกสิทธิ์ พฤฒิพลากร ผู้บริหารผลิตภัณฑ์ธุรกิจรายย่อย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งมีการประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) น่าจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ “สินเชื่อที่อยู่อาศัย” ตามมา ซึ่งจะกระทบต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น จากการผ่อนชำระค่างวดที่เพิ่มขึ้น

สำหรับลูกค้าสัญญารายใหม่ หาก กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% กรณีวงเงินสินเชื่อบ้าน 1 ล้านบาท ยอดชำระ 4,500 บาทต่อเดือน จะส่งผลให้ยอดผ่อนชำระเพิ่มขึ้น 4-5% หรือประมาณ 250 บาทต่อเดือน ทำให้ยอดผ่อนเพิ่มขึ้นเป็น 4,750 บาทต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม สำหรับลูกค้าเดิมแม้ว่าจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นทันที แต่จะไม่ได้รับผลกระทบในการผ่อนต่องวด เนื่องจากธนาคารมีการใส่ buffer การเคลื่อนไหวของดอกเบี้ยขึ้นและลงเข้าไปในการคำนวณดอกเบี้ยอีกราว 0.50-0.75% ไว้ตลอดอายุสัญญาอยู่แล้ว แต่ยอดในแต่ละงวดจะมีหักดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ทำให้หักเงินต้นลดลง ซึ่งหมายความว่าลูกหนี้ต้องผ่อนนานขึ้น

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน โดยปกติจะเพิ่มขึ้นในสัดส่วนใกล้กันหรือเท่ากับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยน่าจะมีการปรับหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 1-2 เดือน

ถอดแคมเปญดอกเบี้ยคงที่
นายเอกสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับลูกค้ารายใหม่ที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ยอมรับว่าจะได้รับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และภาระค่างวดจะสูงขึ้น รวมถึงราคาบ้านที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นตามราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้น และภายหลังจาก ธปท.ส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้น เห็นว่าสถาบันการเงินปรับลดผลิตภัณฑ์ที่เสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ (fixed rate) เช่นเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีแรก ก็ทยอยหายไป และเหลือเสนอดอกเบี้ยคงที่ไม่เกิน 6-12 เดือน หรือพิจารณาเป็นรายกรณี

“หาก กนง.ปรับดอกเบี้ยขึ้น 0.25% แบงก์ก็ต้องปรับขึ้น 2 ขา ทั้งเงินกู้และเงินฝากขึ้นทั้งกระดาน การทำแคมเปญดอกเบี้ยคงที่จะน้อยลง เพราะยิ่ง fixed นานจะทำให้ต้นทุนแบงก์ยิ่งแพง ทำให้แบงก์จะเน้นปรับเป็นดกเบี้ยลอยตัว หรือ floating rate เพื่อรับกับเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น ในส่วนของธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ก็ไม่ได้มีการทำแคมเปญดอกเบี้ยคงที่แล้ว”

ขณะที่สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงสินเชื่อบ้านใหม่ เนื่องจากต้นทุนของธนาคารสูงขึ้น และแหล่งเงินทุนมาจากฐานเดียวกันคือ เงินฝาก อย่างไรก็ดี โดยปกติสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์จะคิดอัตราดอกเบี้ยถูกกว่าสินเชื่อบ้านใหม่ เฉลี่ยประมาณ 0.50%

Q3 ปรับขึ้นดอกเบี้ยบ้าน
ด้านนายณัฐพล ลือพร้อมชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย คาดว่าภายในไตรมาสที่ 3/2565 น่าจะปรับขึ้นตามคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพราะสินเชื่อบ้านในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาถือว่าดอกเบี้ยค่อนข้างถูกเกินพื้นฐานมาก ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขัน อย่างไรก็ดี การปรับขึ้นดอกเบี้ยของไทยอาจจะไม่เอื้อให้ขึ้นถี่และแรงเหมือนกับสหรัฐ เนื่องจากไทยยังต้องการประคองการฟื้นตัวเศรษฐกิจ แม้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยเพื่อลดผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ลูกค้ารายเดิมจะไม่กระทบต่ออัตราผ่อนชำระต่อเดือน แต่เงินที่ผ่อนจะถูกหักเป็นดอกเบี้ยมากขึ้น และจะผ่อนเงินต้นได้น้อยลง สำหรับลูกค้าใหม่จะรับภาระดอกเบี้ยสูงขึ้น จะมากน้อยระดับใดขึ้นอยู่กับ กนง. ซึ่งหากปรับขึ้น 0.25-0.50% คิดว่าจะไม่กระทบภาระการผ่อนชำระมากนัก แต่จะมีผลต่อจิตวิทยาในการตัดสินใจซื้อบ้านเล็กน้อย

ส่วนการปรับตัวของธนาคาร หากกรณีดอกเบี้ยมีทิศทางขาลง จะเห็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อบ้านที่เสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ระยะยาว แต่หลังดอกเบี้ยส่งสัญญาณขาขึ้น จะปรับดอกเบี้ยมาเป็นแบบลอยตัวมากขึ้น และปรับดอกเบี้ยคงที่สั้นลงไม่เกิน 6 เดือน แต่เชื่อว่าแม้ดอกเบี้ยจะทยอยปรับขึ้น แต่ดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ภาพรวมยังไม่กระทบกำลังซื้อบ้าน



หวั่นความสามารถชำระหนี้ทรุด
นายณัฐพลกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมการปล่อยสินเชื่อบ้านของกรุงศรีฯในช่วง 4-5 เดือนถือว่าดีกว่าเป้าหมาย ส่วนหนึ่งมาจากโปรดักต์ สินเชื่อบ้านซุปเปอร์เซฟวิ่ง โดยในส่วนของตัวเลขทั้งระบบ ณ ไตรมาสที่ 1/2565 มียอดสินเชื่อใหม่ 1.43 แสนล้านบาท เติบโต 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยคาดว่าสินเชื่อใหม่ทั้งปีจะเติบโตอยู่ที่ 5-7% คิดเป็นยอดสินเชื่อใหม่อยู่ที่ 6.43-6.55 แสนล้านบาท ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างจะจบที่ 4.73-4.82 ล้านล้านบาท

“เราไม่รู้ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นถี่และเร็วขนาดไหน แน่นอนดอกเบี้ยขึ้นและเงินเฟ้อที่สูงมีผลทางจิตวิทยาสำหรับกลุ่มที่ยังหวั่นไหวง่าย เพราะในภาวะที่ค่าครองชีพสูงขึ้นทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระของลูกหนี้ลดน้อยลง เช่น เดิมอาจกู้ได้ 5 ล้านบาท แต่ตอนนี้เหลือ 3 ล้านบาท ขณะที่ราคาบ้านสูงขึ้น ก็อาจมีผลกระทบต่อตลาด แต่เบื้องต้นมองปัญหาเงินเฟ้อไม่ยาว ขอดูสถานการณ์ก่อนจะมีการทบทวนเกณฑ์พิจารณา”

รับมือดอกเบี้ยขึ้นเร็ว-แรง
นายอนุวัติร์ เหลืองทวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าบุคคล ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต หรือ ttb เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากที่ธนาคารประเมินว่าทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้ตั้งแต่ต้นปีธนาคารได้ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแบบคงที่ ปรับเป็นแบบลอยตัว เพื่อรองรับดอกเบี้ยที่จะทยอยปรับขึ้น และเชื่อว่าสถาบันการเงินน่าจะทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นแบบลอยตัว และไม่น่าจะมีรายใดกล้าใช้ดอกเบี้ยคงที่ เพราะไม่รู้ว่าดอกเบี้ยนโยบายจะขึ้นเร็วและแรงขนาดระดับใด

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ลูกค้าจะมีภาระผ่อนชำระค่างวดบ้านที่ปรับเพิ่มขึ้นตาม เช่น กู้บ้านราคา 1 ล้านบาท ดอกเบี้ยปรับขึ้น 0.25% ภาระค่าผ่อนชำระจะปรับเพิ่มขึ้นราว 2,000-3,000 บาทต่อปี อย่างไรก็ดี เชื่อว่า กนง.จะไม่เร่งปรับดอกเบี้ยขึ้นแรงจนกระทบภาระผ่อนชำระผู้กู้มากนัก ซึ่งธนาคารยังติดตามใกล้ชิด

“สิ่งที่เราติดตามคือ จากสถานการณ์ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่เร่งตัวจะกระทบกำลังซื้อหรือไม่ ส่วนนโยบายการปล่อยสินเชื่อยังคงยึดเกณฑ์ความสามารถการชำระหนี้และรายได้ (DSR) และ LTV เป็นหลัก”

นายชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ธนาคารต่าง ๆ ทยอยปรับอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านเป็นแบบลอยตัว เพื่อให้สอดรับกับดอกเบี้ยที่จะปรับขึ้นในอนาคต คือเดิมอาจมีการเสนอดอกเบี้ยคงที่ อยู่ที่ 1-2 ปี ก็จะปรับให้สั้นลงเหลือ 6-12 เดือน หรือยกเลิกในอนาคต เพราะมีความเสี่ยงในเรื่องของต้นทุนที่จะสูงขึ้น ขณะที่ดอกเบี้ยลอยตัวจะอิงกับอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ลบ (-) ซึ่งขึ้นอยู่กับนโยบายแต่ละธนาคาร

“อัตราดอกเบี้ยนโยบายเราต้องขยับอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ขยับเงินไหลออกไปสหรัฐ แต่ก็ต้องดูว่าทางการจะขึ้นแค่ไหน และสินเชื่อบ้านก็คงขยับตาม ซึ่งในอดีตดอกเบี้ยขึ้น 1% ภาระค่างวดจะเพิ่มขึ้น 6-7% ต่อเดือน แม้เงินเฟ้อจะกระทบกำลังซื้อบ้าง แต่ค่างวดไม่ปรับเยอะ ลูกค้าน่าจะมีกำลังผ่อนอยู่”

ออมสินขึ้นต่ำกว่าตลาด
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มปรับขึ้นนั้น ธนาคารออมสินมีนโยบายที่จะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด อย่างไรก็ดี ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ได้นานเท่าไหร่

“การตรึงอัตราดอกเบี้ยของออมสินจะไม่ใช่การตรึงที่ประเภทสินเชื่อ แต่เป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยทุกผลิตภัณฑ์ โดยเป็นการตรึงอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง MLR, MOR หรือ MRR ตัวใดตัวหนึ่งหรือทั้ง 3 ตัว ส่วนจะเลือกตัวใดบ้างนั้นจะต้องพิจารณาอีกที เพราะเรายังไม่รู้ว่า ธปท.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยช่วงเวลาใด และปรับเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน”

ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในแต่ละช่วงก็แตกต่างกัน และมีผลต่อการพิจารณาตรึงอัตราดอกเบี้ยด้วย เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% ในเดือน ต.ค. ธนาคารก็จะมีกำไรพอสมควรที่จะเข้าไปตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ยาว แต่หากปรับขึ้นในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งกำไรของธนาคารอาจจะยังไม่ถึงเป้าหมาย แรงในการสนับสนุนการตรึงดอกเบี้ยก็จะมีน้อยลง อย่างไรก็ดี ในภาพรวมธนาคารจะพยายามขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้น้อยที่สุด ตามกำลังและความสามารถของแบงก์

ธอส.ตรึงดอกเบี้ยถึง ต.ค.
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธอส.ประเมินว่าปีนี้ กนง.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2-3 ครั้ง รวมไม่เกิน 0.50% อย่างไรก็ตาม บอร์ด ธอส.มีมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยในอัตราต่ำกว่าตลาด เช่น หากตลาดขึ้น 0.25% ธอส.จะปรับขึ้นเพียง 0.15% เป็นต้น

ทั้งนี้ หาก กนง.ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือน ส.ค. ธอส.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ต.ค. และหาก กนง.ปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายปี ธอส.ก็จะไปปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกรอบในช่วงไตรมาส 1 ปี 2566 เนื่องจาก ธอส.มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถนำกำไรส่วนเกินเข้ามาช่วยเหลือลูกค้าตามนโยบายของรัฐบาลได้

“ในช่วงที่ ธอส.ยังไม่ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ แต่ต้นทุนเงินฝากได้มีการปรับขึ้นไปแล้ว ประเมินว่าจะทำให้กระทบต่อต้นทุนของธนาคารรอบแรกประมาณ 1,000 ล้านบาท และในช่วงที่ 2 ประมาณ 1,300 ล้านบาท ซึ่งต้นทุนเหล่านี้จะทำให้กำไรส่วนเกินที่คาดว่าจะเกิน 15% ของเป้าหมายที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลงเหลือเพียงกำไรตามเป้าหมายที่วางไว้”

สินเชื่ออสังหาฯสะเทือน

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้แบงก์พิจารณาสินเชื่อโปรโมชั่นโดยเฉพาะแคมเปญอัตราดอกเบี้ยคงที่หรือฟิกซ์เรตน่าจะน้อยลง ผลกระทบที่มีต่อลูกค้าอสังหาริมทรัพย์ทำให้ภาระงวดผ่อนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น คำนวณคร่าว ๆ ดอกเบี้ยขึ้น 1% ทำให้เพิ่มภาระผ่อน 7-8% ดังนั้น ทุกครั้งที่ กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 25 สตางค์ จะมีผลต่อค่างวดเพิ่มขึ้น 2% ต่อปี รวมทั้งการขอสินเชื่อทำให้ได้วงเงินกู้น้อยลง

“เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นในปี 2565 แม้จะขึ้นมาแค่ไหนแต่เปรียบเทียบกับช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็ยังต่ำกว่าดอกเบี้ยในอดีต รอบนี้ต้องค่อย ๆ ปรับตัวปรับกลยุทธ์โดยร่วมกับพันธมิตรสถาบันการเงิน และปรับจูนโปรโมชั่นสินเชื่อเพื่อช่วยลูกค้า”

การปรับตัวของผู้ประกอบการต้องหันมาควบคุมต้นทุนพัฒนาโครงการและบริหารจัดการกระแสเงินสดให้ดี ควบคู่กับเทรนนิ่งทีมพนักงานขายในการเป็นวันสต็อปเซอร์วิส ให้คำปรึกษาลูกค้าซึ่งเป็นผู้กู้ เช่น ประกอบอาชีพอะไร เหมาะกับการขอสินเชื่อแบงก์ไหนเพื่อสร้างโอกาสให้สามารถกู้ผ่าน ขณะเดียวกัน ถ้าเป็นลูกค้าลลิลฯ พันธมิตรสถาบันการเงินที่จับมือกัน 4-5 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และทหารไทย จะมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ลบ 25-75 สตางค์ ซึ่งสามารถช่วยได้เยอะ

ภาพรวมปฏิเสธสินเชื่อ 50%
ในด้านอัตราปฏิเสธสินเชื่อพบว่าภาพรวมตลาดอยู่ที่ 50% ส่วนพอร์ตลูกค้าลลิลฯ อยู่ที่ 20-25% เท่านั้น สาเหตุเพราะบริษัทมีระบบสกรีนสินเชื่อหรือพรีแอปพรูฟก่อนวางเงินจอง ดังนั้น ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ผ่านขั้นตอนนี้จะสามารถกู้สินเชื่อผ่านและรับโอนบ้านได้

ทั้งนี้ เทรนด์การจัดโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 มองว่าจะแข่งขันกันเข้มข้นมากขึ้น โดยแคมเปญการให้ดอกเบี้ยคงที่เชื่อว่าไม่หายไปจากตลาดเพราะมีผลต่อการตัดสินใจใช้สินเชื่อที่ได้ผล เพียงแต่อัตราฟิกซ์เรตอาจจะสูงกว่าเมื่อก่อน ในด้านระยะเวลาที่เคยให้ผ่อนดอกเบี้ยคงที่ยาว ๆ ก็อาจจะหดเวลาสั้นลง ยกตัวอย่าง สินเชื่อดอกเบี้ยคงที่ของลลิลฯ ไม่เคยจัด 0% แต่เลือกทำดอกเบี้ยต่ำ ระยะเวลาตั้งแต่ 6-12-18 เดือน


ข้อแนะนำสำหรับลูกค้าคนที่ต้องการมีบ้านต้องรีบซื้อภายใน 30 วันนับจากนี้ เพราะยังมีโอกาสเลือกซื้อบ้านต้นทุนเดิม ราคาเดิม ด้านสินเชื่อก็ยังเป็นต้นทุนเดิมเช่นกัน ตัวชี้วัดอยู่ที่จะต้องเร่งซื้อเร่งโอนก่อนการประชุม กนง.ที่มีกำหนดจัดอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นำไปสู่การปรับขึ้นดอกเบี้ยบ้านโดยอัตโนมัติ

ข่าวจาก ประชาชาติธุรกิจ วันที่ 27 มิถุนายน 2565

รวมแนวข้อสอบ สรุปแนวข้อสอบ ครบทุกวิชา ดูเพิ่มเติมที่นี่


แชร์ข่าวนี้ ให้เพื่อนคุณ และติดตามเราได้ที่ Fanpage.
ติดตามข่าวบน Facebook กด Like เพื่อไม่พลาดข่าว !!!
ศูนย์ข่าวสารงานราชการ ข่าวเปิดสอบราชการ ตำแหน่งงานว่างอัพเดทให้ทุกวัน ติดตามที่นี่ www.jobthaidd.com
ข่าวที่น่าสนใจตอนนี้ กรมสรรพสามิต เปิดรับสมัครสอบบรรจุเข้ารับราชการ 123 อัตรา


กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดรับสมัครสอบเป็นพนักงานราชการ 129 อัตรา


บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) รับสมัครบุคคลเข้าทำงานเพื่อปฏิบัติงาน 164 อัตรา


กรมเจ้าท่า เปิดรับสมัครสอบบรรจุเข้ารับราชการ 43 อัตรา


หนังสือติวสอบ ก.พ. พร้อมติวและเฉลยข้อสอบจริง ก.พ. (ภาค ก) 67


สำนักงาน ก.พ. เปิดรับสมัครสอบ ภาค ก (Paper & Pencil) ประจำปี 2567


หนังสือ สรุปครบตรงประเด็น เตรียมสอบ ก.พ.


กสถ.เตรียมเปิดรับสมัครสอบท้องถิ่น 2567 จำนวน 65 ตำแหน่ง 4,010 อัตรา แล้ว!!



ผู้สนับสนุน เว็บไซต์พันธมิตร

งานล่าสุด >>

^