ขยายอายุเกษียณ 65 ปี ช่วยรัฐลดภาระค่าใช้จ่าย ในการดูแลผู้สูงอายุ

นำเสนอข่าวโดย > ทีมงานจ๊อบไทยดีดี ดอทคอม
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2559 ที่ผ่านมา มีประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมอยู่มากเรื่องหนึ่ง นั่นคือกรณีของ กระทรวงการคลัง ที่เสนอแนวคิดให้ “ปรับเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” จากเดิมที่จ่ายให้กับผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปทุกคน จะเปลี่ยนเป็นการจ่ายให้เฉพาะผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 9,000 บาทต่อเดือน หรือมีทรัพย์สินไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าจะประหยัดงบประมาณภาครัฐไปได้ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อปี ทว่าก็มีเสียงวิพากษ์อยู่ไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วย ทั้งที่มองเรื่องความเท่าเทียมเสมอภาคบ้าง รวมถึงกลัวจะเกิดการเลือกปฏิบัติบ้าง
ประเด็นนี้ กมลชนก ขำสุวรรณ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ให้มุมมองว่า ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2557 จาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุในการดำรงชีวิตส่วนใหญ่ได้รับจากบุตร (ร้อยละ 36.7) รองลงมาคือรายได้จากการทำงาน (ร้อยละ 33.9) เบี้ยยังชีพ (ร้อยละ 14.8) บำเหน็จบำนาญ (ร้อยละ 4.9) คู่สมรส (ร้อยละ 4.3) ดอกเบี้ยเงินออม (ร้อยละ 3.9)

ชี้ให้เห็นว่า..คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไทย “ไม่มั่นคง” เพราะรายได้หลัก 3 อันดับแรกมาจากการต้องพึ่งพาบุตรหลาน การต้องทำงานต่อไปแม้อายุถึงวัยเกษียณ รวมถึงการต้องรอคอยเงินอุดหนุนจากภาครัฐในรูปเบี้ยยังชีพ ส่วนผู้ได้รับบำนาญน้อยมาก เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ปัจจุบันประกอบอาชีพอิสระ-รับจ้าง ไม่มีเงินออมเป็นกิจจะลักษณะ
สอดคล้องกับผลการศึกษาของ ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะ เมื่อปี 2551 ที่พบว่า ระบบบำนาญในประเทศไทย ครอบคลุมบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น เช่น สมาชิกกองทุนประกันสังคม ลูกจ้างเอกชน ครูเอกชน พนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ
ขณะที่คนไทยอีกราว “30 ล้านคน” เป็น “แรงงานนอกระบบ” ไม่มีสวัสดิการใดๆ!!!
ดร.วรวรรณ เสนอแนะหลังการศึกษาครั้งนี้ว่า “ควรยกระดับเบี้ยยังชีพให้เป็นระบบบำนาญแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชน ไม่ว่าจะรวยหรือจนก็สามารถเข้าถึงสวัสดิการที่เป็นหลักประกันทางรายได้จากรัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่สำคัญยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องมีตราบาปหรือทัศนคติเชิงลบในเรื่องการรอรับการสงเคราะห์อีกต่อไป นอกจากนี้ระบบบำนาญแห่งชาติยังมีหลายระบบย่อยครอบคลุมคนหลากหลายกลุ่ม และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงได้หลายระบบพร้อมกัน
ทำให้มีโอกาสได้มี “หลักประกันทางการเงินยามชราภาพ” เพิ่มขึ้นจากหลายระบบ!!!
ขณะเดียวกัน นโยบายระยะยาวของภาครัฐ กมลชนก เสนอว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือ “ขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี” เพื่อให้ผู้สูงอายุอยู่ในระบบแรงงานนานที่สุดจะได้มีรายได้จากการทำงานประจำออกไปให้ช้าลง รัฐก็จะได้ประหยัดงบประมาณในการจ่ายค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุช้าลง
ซึ่งจากข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่าระหว่างปี พ.ศ. 2550-2557 สัดส่วนผู้สูงอายุที่รับเงินบำนาญและเบี้ยยังชีพเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากร้อยละ 29.8 (2550) เป็น ร้อยละ 88.9 (2554) และร้อยละ 91.2 (2557) ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของภาระทางการเงินการคลังของรัฐบาล อีกทั้งมีผลต่อความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจำนวนมาก และเป็นงบประมาณที่ผูกพันระยะยาว
ข้อมูลจากสภาพัฒน์ ระบุว่า ในปี 2558 รัฐบาลได้จ่ายเงินค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งหมดเป็นเงิน 6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 2573 รัฐจะต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งหมดถึง 101,905 ล้านบาท แต่หากขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี ในปี 2558 รัฐจะจ่ายเงินค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุเพียง 40,063 บาท ขณะที่ในปี 2573 คาดว่ารัฐจะต้องจ่ายเพียง 73,343 บาทเท่านั้น
การเพิ่มขึ้นของอายุเฉลี่ยของประชากรไทย ส่งผลให้ระยะเวลาของการใช้จ่ายยามชราภาพยาวมากขึ้น ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นและมีโอกาสส่งผลต่อเนื่อง ทำให้รายได้และ/หรือเงินออมที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ที่ผ่านมาการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังมีปัญหาทั้งเรื่องของความพอเพียงของจำนวนเงินสำหรับผู้สูงอายุที่ยากจน และเรื่องนโยบายประชานิยม
ดังนั้น การจ่ายเงินอุดหนุนผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับสังคมไทย น่าจะเป็นจำนวนเงินที่ “มากกว่าเส้นความยากจน” ส่วนแหล่งเงินก็น่าจะเป็นภาครัฐ และถ้าจะไม่ให้กระทบกับงบประมาณ ก็ต้องขยายอายุเกษียณ จาก 60 ปี เป็น 65 ปี อย่างไรก็ตามการออกแบบเงินอุดหนุนให้ผู้สูงอายุ ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจำนวนมาก และมีภาระที่ผูกพันระยะยาว !!!
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
มหาวิทยาลัยมหิดล
เนื้อหาข่าวจาก @ http://www.naewna.com/local/218856
ประเด็นนี้ กมลชนก ขำสุวรรณ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ให้มุมมองว่า ข้อมูลจากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทยปี พ.ศ. 2557 จาก สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานแหล่งรายได้หลักของผู้สูงอายุในการดำรงชีวิตส่วนใหญ่ได้รับจากบุตร (ร้อยละ 36.7) รองลงมาคือรายได้จากการทำงาน (ร้อยละ 33.9) เบี้ยยังชีพ (ร้อยละ 14.8) บำเหน็จบำนาญ (ร้อยละ 4.9) คู่สมรส (ร้อยละ 4.3) ดอกเบี้ยเงินออม (ร้อยละ 3.9)

ชี้ให้เห็นว่า..คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุไทย “ไม่มั่นคง” เพราะรายได้หลัก 3 อันดับแรกมาจากการต้องพึ่งพาบุตรหลาน การต้องทำงานต่อไปแม้อายุถึงวัยเกษียณ รวมถึงการต้องรอคอยเงินอุดหนุนจากภาครัฐในรูปเบี้ยยังชีพ ส่วนผู้ได้รับบำนาญน้อยมาก เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ปัจจุบันประกอบอาชีพอิสระ-รับจ้าง ไม่มีเงินออมเป็นกิจจะลักษณะ
สอดคล้องกับผลการศึกษาของ ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และคณะ เมื่อปี 2551 ที่พบว่า ระบบบำนาญในประเทศไทย ครอบคลุมบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น เช่น สมาชิกกองทุนประกันสังคม ลูกจ้างเอกชน ครูเอกชน พนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ
ขณะที่คนไทยอีกราว “30 ล้านคน” เป็น “แรงงานนอกระบบ” ไม่มีสวัสดิการใดๆ!!!
ดร.วรวรรณ เสนอแนะหลังการศึกษาครั้งนี้ว่า “ควรยกระดับเบี้ยยังชีพให้เป็นระบบบำนาญแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชน ไม่ว่าจะรวยหรือจนก็สามารถเข้าถึงสวัสดิการที่เป็นหลักประกันทางรายได้จากรัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่สำคัญยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องมีตราบาปหรือทัศนคติเชิงลบในเรื่องการรอรับการสงเคราะห์อีกต่อไป นอกจากนี้ระบบบำนาญแห่งชาติยังมีหลายระบบย่อยครอบคลุมคนหลากหลายกลุ่ม และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงได้หลายระบบพร้อมกัน
ทำให้มีโอกาสได้มี “หลักประกันทางการเงินยามชราภาพ” เพิ่มขึ้นจากหลายระบบ!!!
ขณะเดียวกัน นโยบายระยะยาวของภาครัฐ กมลชนก เสนอว่า ทางออกที่ดีที่สุดคือ “ขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี” เพื่อให้ผู้สูงอายุอยู่ในระบบแรงงานนานที่สุดจะได้มีรายได้จากการทำงานประจำออกไปให้ช้าลง รัฐก็จะได้ประหยัดงบประมาณในการจ่ายค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุช้าลง
ซึ่งจากข้อมูลของ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) พบว่าระหว่างปี พ.ศ. 2550-2557 สัดส่วนผู้สูงอายุที่รับเงินบำนาญและเบี้ยยังชีพเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากร้อยละ 29.8 (2550) เป็น ร้อยละ 88.9 (2554) และร้อยละ 91.2 (2557) ส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของภาระทางการเงินการคลังของรัฐบาล อีกทั้งมีผลต่อความยั่งยืนทางการคลังของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจำนวนมาก และเป็นงบประมาณที่ผูกพันระยะยาว
ข้อมูลจากสภาพัฒน์ ระบุว่า ในปี 2558 รัฐบาลได้จ่ายเงินค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งหมดเป็นเงิน 6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 2573 รัฐจะต้องจ่ายเงินค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุวัย 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งหมดถึง 101,905 ล้านบาท แต่หากขยายอายุเกษียณเป็น 65 ปี ในปี 2558 รัฐจะจ่ายเงินค่าเบี้ยยังชีพให้กับผู้สูงอายุเพียง 40,063 บาท ขณะที่ในปี 2573 คาดว่ารัฐจะต้องจ่ายเพียง 73,343 บาทเท่านั้น
การเพิ่มขึ้นของอายุเฉลี่ยของประชากรไทย ส่งผลให้ระยะเวลาของการใช้จ่ายยามชราภาพยาวมากขึ้น ค่าใช้จ่ายอาจเพิ่มขึ้นและมีโอกาสส่งผลต่อเนื่อง ทำให้รายได้และ/หรือเงินออมที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ที่ผ่านมาการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุยังมีปัญหาทั้งเรื่องของความพอเพียงของจำนวนเงินสำหรับผู้สูงอายุที่ยากจน และเรื่องนโยบายประชานิยม
ดังนั้น การจ่ายเงินอุดหนุนผู้สูงอายุที่เหมาะสมกับสังคมไทย น่าจะเป็นจำนวนเงินที่ “มากกว่าเส้นความยากจน” ส่วนแหล่งเงินก็น่าจะเป็นภาครัฐ และถ้าจะไม่ให้กระทบกับงบประมาณ ก็ต้องขยายอายุเกษียณ จาก 60 ปี เป็น 65 ปี อย่างไรก็ตามการออกแบบเงินอุดหนุนให้ผู้สูงอายุ ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ
เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการใช้งบประมาณจำนวนมาก และมีภาระที่ผูกพันระยะยาว !!!
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม
มหาวิทยาลัยมหิดล
เนื้อหาข่าวจาก @ http://www.naewna.com/local/218856
- ห้ามมิให้ผู้ใดโพดขายสินค้าเด็ดขาด
- ข้อความโพสโดยสาธารณชน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
แสดงความคิดเห็น :
- กรุณาใช้คำพูดที่สุภาพและไม่ทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสีย- ห้ามมิให้ผู้ใดโพดขายสินค้าเด็ดขาด
- ข้อความโพสโดยสาธารณชน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ติดตามข่าวบน Facebook กด Like เพื่อไม่พลาดข่าว !!!
ศูนย์ข่าวสารงานราชการ ข่าวเปิดสอบราชการ ตำแหน่งงานว่างอัพเดทให้ทุกวัน ติดตามที่นี่ www.jobthaidd.com
ข่าวที่น่าสนใจตอนนี้
สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ 60 อัตรา

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อจ้างบุคคลเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย 125 อัตรา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดรับสมัครสอบแข่งขันบุคคลภายนอกเพื่อบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ 155 อัตรา

วิธีตรวจสอบคุณวุฒิตามที่ ก.พ. รับรอง

กรมสรรพากร เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ 805 อัตรา ตั้งแต่วันที่3 -24 มี.ค.68

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดรับสมัครสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2568

((เว็บไซต์สมัครสอบท้องถิ่น68))

ตำแหน่งว่างว่าง เปิดรับสมัครสอบราชการ วุฒิ ปวช./ปวส./ปริญญาตรี ทุกสาขา

การประปาส่วนภูมิภาค เปิดรับสมัครบุคคลเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานฯ จำนวน 190 อัตรา

สำนักงานประกันสังคม รับสมัครบุคคลเข้ารับการสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงาน 15 อัตรา

สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ 72 อัตรา

สํานักงาน ก.พ. รับสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป ประจําปี 2568 จำนวน 450,000 ที่นั่ง

สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ 60 อัตรา

มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช รับสมัครสอบแข่งขันเพื่อจ้างบุคคลเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย 125 อัตรา

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดรับสมัครสอบแข่งขันบุคคลภายนอกเพื่อบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการ 155 อัตรา

วิธีตรวจสอบคุณวุฒิตามที่ ก.พ. รับรอง

กรมสรรพากร เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ 805 อัตรา ตั้งแต่วันที่3 -24 มี.ค.68

กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เปิดรับสมัครสอบเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น ประจำปี 2568

((เว็บไซต์สมัครสอบท้องถิ่น68))

ตำแหน่งว่างว่าง เปิดรับสมัครสอบราชการ วุฒิ ปวช./ปวส./ปริญญาตรี ทุกสาขา

การประปาส่วนภูมิภาค เปิดรับสมัครบุคคลเข้ารับการคัดเลือกเพื่อบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานฯ จำนวน 190 อัตรา

สำนักงานประกันสังคม รับสมัครบุคคลเข้ารับการสรรหาและเลือกสรรเป็นพนักงาน 15 อัตรา

สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดรับสมัครสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการ 72 อัตรา

สํานักงาน ก.พ. รับสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป ประจําปี 2568 จำนวน 450,000 ที่นั่ง
